เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ พ.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เห็นความเปลี่ยนแปลงนะ เราบอกเลยเห็นไหม ศาสนาจะเสื่อม ต่อไปน่ะศาสนาจะเสื่อม แต่ความเสื่อมมันเกิดตลอดเวลา เหตุการณ์วิกฤติเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเลย เห็นไหม มันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมอยู่ในตัวมันเองตลอดเวลา แล้วเราว่าศาสนาอีก ๕,๐๐๐ ปีจะเสื่อม ความเป็นไปของคนมันเสื่อม ความรู้สึกมันเสื่อม มันเสื่อมมาจากไหน? มันเสื่อมเพราะอะไร เพราะมันทนกับความเร้าของใจไม่ไหว ถ้าความเร้าของใจไม่ไหวเห็นไหม

ถ้าเราอยู่ของเราคนเดียวนะ นี่เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติมันต้องมีตรงนี้ก่อน เราไปแบบนอแรด ถ้าไปแบบนอแรดเราจะไม่มีสิ่งนี้มาเป็นหัวโขนเลย ไอ้ที่เราไปนี้มันเป็นบารมีของครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้าใครไปติดตรงนี้ แล้วถ้าครูบาอาจารย์เราล่วงไปแล้วนะ จะทุกข์มากเลย เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเราเคยอยู่ในสังคมที่แบบเขาเชิดชูกัน สังคมเขายอมรับกัน แล้วเราไปอยู่ของเรานี่ ไปอยู่ในความว้าเหว่นะ เราไปอยู่ในที่ไม่มีใครยอมรับเลยเห็นไหม ไม่มีใครยอมเลย เพราะเขาไม่ยอมรับเราหรอก ความยอมรับนี้ นี่อำนาจวาสนาของใครของมันนะ การสร้างมา

แต่เราในเมื่อเราอยู่กับครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรามีอำนาจวาสนา เราควรตักตวงนะเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “ใครอยู่ไกลเราขนาดไหน แต่ประพฤติปฏิบัติตามเรา เหมือนจับชายจีวรเราไว้ คนที่โอบกอดเราเลย เกาะชายจีวร เกาะปลายเท้าอยู่เลย ไม่ปฏิบัติตามเรานะ อยู่ไกลสุดขอบฟ้า” อยู่ไกลสุดขอบฟ้าเพราะไม่ทำตาม

การทำนี้มันทำอะไร? เพราะการทำนี้มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติใช่ไหม? มันมีการขัดเกลาของเรานะ ถ้ามันขัดเกลากิเลสของเรานี่ ถ้ากิเลสของเราได้ออกจากหัวใจของเราไป ความพร่องอยู่ของใจนะ ถ้าใจมันพร่องอยู่แล้วทำไมมันพร่องล่ะ? เพราะนี่กิเลสทำให้พร่อง

กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือไปใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่จนใจมันไม่พร่อง ถ้าใจมันอิ่มพอแล้วมันไม่พร่องนะ ถ้าใจไม่พร่องเห็นไหม นี่ความอิ่มของใจมันทำให้เรามีความสุขได้ชั่วครั้งชั่วคราวนะ ชั่วคราวเพราะอะไร? เพราะความอิ่มหรือความพร่องไปนะมันเป็นอนิจจัง มันต้องย่อยสลายตัวมันไปแน่นอน พลังงานมันต้องสลายตัวไปแน่นอน สิ่งที่มันเป็นพลังงาน สิ่งที่มันมีในหัวใจ พลังงานมันพร่องอยู่

แต่มันมีความรู้สึก มันมีตัวชีวิตไง มันมีชีวะ ชีวะคือชีวิต ชีวะคือตัวจิต ตัวจิตมันเจริญแล้วเสื่อมอยู่อย่างนี้โดยสภาพของมัน เพราะว่ามันมีสิ่งที่เราไม่รู้เท่าคืออวิชชา แต่ถ้าเมื่อใดเราใช้ปัญญาของเรา เราใคร่ครวญของเรา จากอะไร? จากข้อวัตรปฏิบัตินี่ จากการเชิดชูของครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์จะรักมาก

นี่พูดบ่อยมากเลยว่า พ่อแม่คนไหนไม่รักลูกเป็นไปไม่ได้หรอก พ่อแม่จะรักลูก ลูกจะเกเรลูกจะดีขนาดไหน พ่อแม่ก็รักโดยธรรมชาติของพ่อแม่ ถ้าลูกที่ดีพ่อแม่ก็รักด้วยความชื่นใจ ถ้าลูกที่เกเรก็รักเหมือนกัน แต่ก็เจ็บช้ำน้ำใจ เจ็บช้ำใจเพราะว่าทำไมมันไม่ได้อย่างนี้ๆ เพราะอะไร เพราะพ่อแม่ก็มีกิเลส ลูกก็มีกิเลส เรื่องของกิเลสคือความไม่เข้าใจเห็นไหม ความไม่เข้าใจต่อกันมันก็ขัดแย้งกัน แต่ด้วยสายเลือด ด้วยความผูกพันของใจ มันก็รักกันเห็นไหม

นี้ก็เหมือนกัน พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็เมตตานะ แล้วพ่อแม่ครูจารย์เห็นไหม ไม่ใช่สายเลือดนะ ถ้าเป็นสายเลือดนี้มันเป็นกรรมพันธุ์นะ ยังไงมันก็ยังเป็นสายเลือดกันอยู่ แต่นี้มันไม่ใช่สายเลือด มันเป็นสายกรรม สายกรรมเพราะเราเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาพบประสบกันเป็นสภาคกรรม ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวของเรานะ เกิดจากญาติตระกูลของเรา

แต่นี่ครอบครัวมันเป็นสภาวธรรม มันเป็นสภาวธรรมชาติ สภาวะของสิ่งต่างๆ ครอบครัวนี้ครอบครัวใหญ่ไป เพราะครอบครัวของโลกไง ครอบครัวของความเป็นไปไง แล้วความยอมรับกันในหัวใจนี่ สิ่งที่เป็นการสร้างมาสิ่งนี้มันต้องมีมานะ แล้วมีการสร้างสมนะ มีเชาวน์ปัญญา เชาวน์ปัญญามันเกิดมาจากไหน?

ดูสิเชาวน์ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ คำว่าปฏิภาณไหวพริบนี่ พระอรหันต์ที่หลายๆ ประเภทเห็นไหม เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ มันอยู่ตรงนี้ ปฏิภาณไหวพริบของเรา เราเห็นสิ่งต่างๆ มันจะเตือนใจเราได้ไหม เราเห็นต่างๆ เห็นไหม ถ้าเราเห็นต่างๆ เป็นของธรรมดา เป็นของธรรมชาติ เป็นเรื่องของปกติ เราใช้ไปโดยไม่ได้บันยะบันยัง

นี้ทรัพย์ยากรหมดไปด้วยเหตุนี้ไง เพราะอะไร เพราะเรามีเงินมีทองเราซื้อได้ เราแสวงหาได้ เดี๋ยวนี้เงินก็ซื้อไม่ได้นะ เพราะมันหมดไปแล้วเอาอะไรมาซื้อ สิ่งที่หมดไปแล้วจะใช้อะไรต่อไป เราก็ต้องค้นวิธีการต่อไปเห็นไหม

แล้วทีนี้ทางยุโรปเขาถามกันแล้วนะ จะเอาพลังงานหรืออาหาร ถ้าเอาพลังงานอาหารก็ไม่มี ถ้าเอาอาหารพลังงานก็ไม่มี แล้วจะเลือกอะไร? จะเลือกชีวิตหรือเลือกความสะดวกสบาย พลังงานคือความสะดวกสบายนะ อาหารดำรงชีวิตนะ เราจะเลือกอะไร? นี่ไงถึงเวลาเราจะเลือกอะไร?

นี่ก็เหมือนกัน ถึงเวลาเราทำความดีหรือความชั่ว นี่สิ่งนี้ทำความชั่วๆ ทำความพอใจ ทำชั่ว ชั่วคือความไม่รู้เท่าก็กิเลสไง กิเลสคือความไม่รู้เท่า แต่ถ้าความถูกต้องความดีงามล่ะ ความถูกต้องความดีงามนี่มันเจริญตรงนี้ไง ถ้าตรงนี้มันเจริญขึ้นมาศาสนาเจริญตรงนี้นะ

นี่มันเป็นอำนาจวาสนา มันเป็นคุณธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราอยู่ใต้ร่มธง เรามีความสุข เรามีความร่มเย็นเป็นสุข เกิดในประเทศอันสมควรเห็นไหม เกิดในผู้ปกครองที่เป็นธรรม เกิดในปกครองครูบาอาจารย์เราที่เป็นธรรม

พ่อแม่คนไหนเวลาสอนลูก ลูกมันจะพอใจมีไหม ลูกมันขัดใจไปทั้งนั้นน่ะ ตั้งแต่เด็กมันขัดแย้งกันมาตลอด เพราะว่าความคิดของเด็กวัยวุฒิมันต่างกัน มันขัดแย้งไปหมด นี่เหมือนกัน เรื่องของกิเลสมันก็ขัดแย้งกันไปหมดเห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเตือนตนได้ สำคัญมาก เพราะเตือนตนเห็นไหม เราเป็นคนเตือนเอง ไม่ใช่ครูบาอาจารย์เตือน ไม่ใช่ใครเตือน แล้วใครจะเตือนเราได้ ถ้าไม่มีสิ่งใดมากระทบ

สิ่งใดกระทบนะ เราถามไหมว่าชีวิตนี้คืออะไร? เราเกิดมาทำไม ทำงานกันอยู่นี้ทำงานกันเพื่ออะไร? ถ้าพูดถึงทำงานกันเพื่อค่าใช้จ่าย เพื่อปัจจัย ๔ พอไหม? เหลือเฟือ เหลือเฟือเลย แต่มันทำงานมันไม่คิดอย่างนั้น มันคิดตลอดไปนะ สิ่งที่มันสะสมไว้ขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเราใช้ประโยชน์ของเรานะ เป็นคนดีใช้มันเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นคนไม่ดีใช้นี่เห็นไหม คนไม่ดีใช้นี่ เขาเอาสิ่งนี้มาจ้างวานกันเพื่อทำลายกันนะ

ดูสิเขาจะคิดสิ่งที่ว่าเขาจะวางแผนทำลายกัน เขาก็ต้องใช้ต้นทุน ทุนอันนี้เอาไปทำสิ่งที่ให้เป็นบาปอกุศล แต่ถ้าทุนอันนี้มันไปทำเป็นบุญกุศลล่ะเห็นไหม ทุนเหมือนกันนี่ เวลาพูดเหมือนกันเลย นี่การบริหารจัดการ ถ้าไม่มีการบริหารจัดการมันก็บริหารไม่ได้ แต่การบริหารจัดการนี่ แพ้นิดเดียว นี่แพ้ดีหรือชั่ว ถ้าบริหารจัดการที่ดีเห็นไหม โลกนี้ดีหมดเลย

ถ้าเราไม่มีเชาวน์ปัญญา เราไม่มีอำนาจวาสนา เรามองไม่ออกนะ จะบริหารจัดการอะไร? เรามองภาพไม่ออก เราดูไม่ออก เราไม่สามารถเข้าใจโลก เราบริหารจัดการโลกได้อย่างไร? ถ้าเรามองภาพโลก เราเข้าใจเรื่องโลก เราบริหารจัดการ แต่ถ้าจัดการด้วยเพื่อเราเห็นไหม นี่จัดการเพื่อเราก็ทำให้เสียหายกันไป จะจัดการเพื่อความเป็นธรรมเห็นไหม นี่วีรบุรุษ ผู้ที่เป็นวีรบุรุษเป็นต่างๆ เขาทำเพื่อใคร เขาทำเพื่อโลกเห็นไหม แล้วเขาได้อะไรขึ้นมา เขาได้บารมีธรรมนะ เขาได้การยอมรับ เขาได้การเชิดชู สิ่งนี้เขาทำเพื่อใคร

แต่ถ้าทำเพื่อเรา เพราะมันเสียสละไม่ได้ จิตใจมันคับแคบ จิตใจไม่เป็นจิตใจสาธารณะ ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะนะ มันจะเห็นการกระทบกระเทือนกัน เราอยู่กันเห็นไหม สังคมใหญ่ เหมือนร่างกาย เวลาเปรียบเทียบก็เหมือนร่างกาย ประเทศชาติก็เหมือนร่างกาย ทุกอย่างก็เหมือนร่างกาย ถ้ามีความขัดแย้งกันมันก็ต้องมีปัญหา แล้วความขัดแย้งกัน ดูสิ เวลาคนเกิดขึ้นมา คนพิการก็มี คนสมบูรณ์ก็มี คนต่างๆ ก็มีเห็นไหม แล้วนี่มันก็เป็นยุคเป็นคราว เป็นยุคเป็นคราวถึงเวลามันขัดแย้ง

ดูสิ เวลาอุทกภัยเกิดขึ้นมาแต่ละภูมิภาค มันก็มีความขัดแย้งกันเห็นไหม แล้วเราเกิดในที่ไหน เราเกิดในประเทศอันสมควร เราเกิดในนี้ สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศลทั้งนั้น นี่ถ้าเจริญตรงนี้นะ ถ้าศาสนาเจริญ ถ้าให้ต่างคนต่างเข้ามาปฏิบัติ นี่เขาบอกว่า “เป็นปัจเจกบุคคลไม่ได้ ต้องเป็นสังคม” สังคมก็เกิดจากปัจเจกบุคคล ถ้าปัจเจกบุคคลเป็นคนดีเสียก่อนเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้นะ

แต่นักวิชาการไม่เห็นตรงนี้ไง เห็นว่าต้องเอาสังคมๆๆ สังคมเอาต้องคนดีเอา สังคมคนเห็นแก่ตัวเอาสังคม มันก็กินสังคมทั้งหมดอ่ะ สังคมจะดีปัจเจกบุคคลก่อน ถ้าปัจเจกบุคคลเป็นคนที่ดี ถ้าปัจเจกบุคคลเป็นผู้ที่สร้างบุญญาธิการมา

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่าคนเดียวแท้ๆ เลยนะ นี่เวลาสั่งสอนวัฏฏะ ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหม ลงมาทั้งหมดเห็นไหม สั่งสอนวัฏฏะ เป็นผู้ชี้สอนนำวัฏฏะ แล้ววัฏฏะเวลาไปตกที่ไหน? เห็นไหม มาฟังเทศน์

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำดีหัวใจเราดีก่อน ถ้าหัวใจเราดีทุกอย่างมันจะดีไปหมดเลย นี้มันต้องกลับมาที่เรา นี้ถ้าเราไม่กลับมาที่เราก่อน เราไปอาศัยอำนาจวาสนาของครูบาอาจารย์ ใช่ อาศัยเพื่อเป็นวิธีการ เพื่อจะหาเป้าหมาย แต่อย่าเอาวิธีการนั้นเป็นสมบัติของเรา และอาศัยวิธีการนั้นแล้วยึดมั่นวิธีการนั้น ถึงมีปัญหาไง มีปัญหาเพราะยึดวิธีการนั้นแล้วขัดแย้งกันด้วยวิธีการนั้น แล้วพอขัดแย้งวิธีการนั้น นี่คอยแต่ระแวงระวังกันนะ ว่าคนนั้นจะได้หน้า คนนั้นจะได้ตา เราทำงานเพื่องานนะ ทำงานเพื่อสังคมนะ

นี่ถ้าคนนี้มีคุณธรรมในหัวใจเห็นไหม ดูสิปิดทองก้นพระ ทำเพื่อสังคมไม่ให้ใครรู้หรอก ทำดีเพื่อดี นี้ปฏิบัติของเรา เวลาอยู่ในป่าในเขา อยู่ในกุฏิของเรานั่งตลอดรุ่งใครจะรู้ไปกับเรา เราอดอาหาร เราอดนอนผ่อนอาหาร เราทุกข์อยู่นี่ใครจะรู้อะไรกับเรา แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นไปแล้วนี่ สิ่งที่คุณธรรมในหัวใจมันต้องรู้ สิ่งต่างๆ เขารู้เห็นไหม

นี่เมื่ออยู่ด้วยกันจะรู้ใครมีศีลบริสุทธิ์ หรือใครศีลอ่อนศีลแก่ เวลาธรรมะออกมา ออกมาจากไหน ออกมาจากใจ ถ้าไม่มีไม่รู้เอาอะไรมาพูด พูดออกมามันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาพูดนี้เป็นสูตรสำเร็จ แต่เวลาถามวิธีการตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นวิธีการ ไม่รู้จักวิธีการ

วิธีการสำคัญมาก วิธีการเกิดจากใคร? เกิดจากผู้ที่เคยผ่านวิธีการนั้นมา ผ่านวิธีการที่ถูกต้อง เป็นสัมมาด้วย ถ้าผ่านวิธีการที่มันเป็นมิจฉา วิธีการเหมือนกัน แต่วิธีการมิจฉามันไปถึงปลายทางไม่ได้ มันไปถึงเป้าหมายไม่ได้ ถ้ามันพูดถึงวิธีการนั้นถึงเป้าหมายไม่ได้ มันก็วนอยู่นี่ไง

นี่ไงสังคมๆๆ ทุกคนสังคม ไปเกาะในสังคม แล้วตัวเองตายเปล่าๆ ตายฟรีๆ เกิดมาตายไม่มีสมบัติติดตัวไปไง แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา สังคมก็เพื่อสังคมด้วย สมบัติของเราต้องมีด้วย เห็นไหม นักการเมืองเขาต้องช่วยเหลือตัวเองได้ก่อน เขาถึงจะช่วยเหลือสังคม เห็นไหม นักการเมืองช่วยตัวเองไม่ได้เลย จะช่วยสังคมได้อย่างไร? แล้วนักการเมืองที่ดีทั้งหมดไหม เราทุกคนเป็นคนที่ดีทั้งหมด สังคมมันจะเลวไปได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นคนดี เราทำสิ่งที่ดี ต่างคนต่างทำความดี เอาเงินมากองไว้เท่าภูเขา ไม่มีใครเอาเลย กองทิ้งไว้เฉยๆ ไม่มีคนเอา เพราะทุกคนเป็นคนดีหมด นี่มันสงบร่มเย็นขนาดนั้น แต่ถ้าต่างแย่งชิงกันนะ กองเงินนี้ไม่มีพอหรอก ขุดไปในบาดาลมันยังไม่ยอมพอเลย

ตัณหาทะยานอยากที่ไหนมันถมเต็ม เต็มไปไม่ได้เลย ตัณหาทะยานอยากไม่มีเต็มหรอก ตอนนี้จะยึดครองดวงจันทร์กันนะ หาทรัพยากรในดาวอังคารนู้น จะหามนุษย์อยู่นี่ โลกนี้ไม่พอให้มันยึดเลย นี่ถ้าตัณหา เพราะความคิดมันถมไม่เต็มหรอก แล้วถมอันนี้เต็มอันนี้จะเป็นคุณงามความดีของเรา

แล้วถ้าศาสนาเจริญของเราก่อน ถ้าศาสนาเจริญในหัวใจนะ นี่ทุกอย่างเจริญ ถ้าใจดีทุกอย่างจะดี เวลาพูดอย่างนี้ปั๊บทางโลกยังโต้แย้งนะ โต้แย้งว่าไม่ใช่ ต้องวัตถุก่อน ต้องปัจจัยเครื่องอยู่อาศัยดีก่อนแล้วคนจะดีทีหลัง คนนะไปมองกันแบบการบริหารจัดการ แต่ถ้ามองมาจากธรรมไง สรรพสิ่งทั้งหลายออกมาจากความรู้สึก ออกมาจากความคิด ความคิดนี้ถ้ามัน...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)